รู้จักวิธีการจัดการเงิน ทำตามได้ง่าย ๆ โดย FinVest

รู้จักวิธีการจัดการเงิน ทำตามได้ง่าย ๆ โดย FinVest


กฎการจัดการเงินที่ดีที่สุด

ไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อนอะไรมากมากมาย

วันนี้เรามีวิธีการจัดการเงิน ทำตามได้ง่าย ๆ มาฝากครับ




รู้จักวิธีการจัดการเงิน ทำตามได้ง่าย ๆ โดย FinVest


รู้จักวิธีการจัดการเงิน ทำตามได้ง่าย ๆ โดย FinVest


เงินเข้า-เงินออก มีเท่าไร ความมั่งคั่งสุทธิ มีเท่าไหน จำเป็นต้องรู้


1. Kakeibo (การบันทึกรายรับ-รายจ่ายแบบญี่ปุ่น)


หลักการ Kakeibo เป็นวิธีการจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายแบบญี่ปุ่น ที่สืบทอดมานานกว่าร้อยปี โดยเน้นการจดรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เงินในแต่ละวันเพื่อสร้างสติในการใช้เงินและช่วยให้วางแผนการเงินได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ Kakeibo ไม่ได้มีกติกาตายตัวว่าจะต้องแบ่งสัดส่วนอย่างไร แต่จะเน้นไปที่การทำรายรับรายจ่ายอย่างละเอียดเพื่อดู  

  • ค่าใช้จ่ายจำเป็น
  • ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย


ทั้งนี้หลักสำคัญของ Kakeibo คือ

  • การทำให้รายรับรายจ่ายให้เห็นชัดเจน เพื่อให้จัดการง่าย
  • การจัดการกับรายจ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น ด้วยการถามตัวเองว่า สิ่งของนั้นจำเป็นขนาดไหน ไม่มีได้หรือไม่

วิธีการนี้ฟังดูอาจจะเรียบง่าย แต่บอกเลยว่าทรงพลังมาก

เพราะอย่าลืมว่า ถ้าลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยได้เดือนละ 5,000 แปลว่าเรามีเงินออมเพิ่มขึ้น 5,000 บาททันที

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลสามารถนำไปต่อยอดการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินส่วนบุคคลได้

และถ้าให้ดี ทำล่วงหน้า 1 ปีไปเลยครับ มีแผนไว้ย่อมดีกว่าเสมอ

ซึ่งเราสามารถต่อยอดไปถึงการทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินได้อีก 

กำหนดไว้เลยนะครับ อาจจะทำอย่างน้อยทุก 1 ปีก็ได้




ทุกคนคงเคยจะเห็นสมการนี้กัน: รายรับ – รายจ่าย = เงินออม

ถ้าเปลี่ยนเป็นแบบนี้น่าจะทำให้เราเก็บเงินได้ง่ายขึ้น: รายรับ – เงินออม = รายจ่าย


2. การออมแบบ 6 กระปุก


หลักการของการออมเงิน 6 กระปุก จะแบ่งเงินเป็น 6 ก้อน (หรือจะเรียกกระปุกก็ได้)

โดยทั้ง 6 ก้อนนั้นจะถูกแบ่งให้ครอบคลุมทุกมิติของชีวิต โดยที่

  • 55% สำหรับดำรงชีพ
  • 10% สำหรับสร้างอิสรภาพ
  • 10% สำหรับด้านที่ต้องการ
  • 10% สำหรับการพัฒนาตนเอง
  • 10% สำหรับการท่องเที่ยวและความบันเทิง
  • 5% สำหรับการบริจาค ทำบุญ


สมมติเรามีเงินได้เดือนละ 50,000 บาท จะแบ่งเงินตามแต่ละส่วนได้ดังนี้: 

  • 55% สำหรับดำรงชีพ: 27,500 บาท
  • 10% สำหรับสร้างอิสรภาพ: 5,000 บาท
  • 10% สำหรับด้านที่ต้องการ: 5,000 บาท
  • 10% สำหรับการพัฒนาตนเอง: 5,000 บาท
  • 10% สำหรับการท่องเที่ยวและความบันเทิง: 5,000 บาท
  • 5% สำหรับการบริจาคและทำบุญ: 2,500 บาท

ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องตายตัวว่าต้อง 6 ก้อน หรือ สัดส่วนตามข้างต้น เท่านั้น สามารถออกแบบให้เข้ากับความต้องการในชีวิตของผู้ออมได้เลย




ตอนนี้คุณกำลังประสบกับภาระหนี้อยู่หรือเปล่า?


3. จัดการหนี้ด้วย Debt Snowball / Avalanche Method


Debt Snowball หรือ Avalanche เป็นกลยุทธ์ยอดนิยมที่ไว้ใช้สำหรับจัดการหนี้

โดยที่

Snowball Method: ชำระหนี้จากยอดที่น้อยที่สุดก่อน แล้วใช้แรงจูงใจจากความสำเร็จในการปิดหนี้ก้อนเล็ก ๆ เพื่อไปชำระหนี้ก้อนใหญ่

Avalanche Method: ชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เพื่อลดการจ่ายดอกเบี้ยในระยะยาว วิธีนี้ฟังดูสมเหตุสมผล แต่อาจทำจริงได้ยากเพราะจะรู้สึกว่าหนี้ไม่หมดสักที


ตัวอย่าง: คุณมีหนี้บัตรเครดิต 3 ก้อน คือ

  • หนี้ A: 5,000 บาท ดอกเบี้ย 10%
  • หนี้ B: 80,000 บาท ดอกเบี้ย 15%
  • หนี้ C: 50,000 บาท ดอกเบี้ย 7%

หากใช้ Snowball Method คุณจะเริ่มชำระหนี้ A ก่อนแม้ดอกเบี้ยจะสูงที่สุด เพื่อสร้างความสำเร็จเร็วๆ หลังจากนั้นค่อยไปชำระหนี้ C และ B

หากใช้ Avalanche Method คุณจะชำระหนี้ B ก่อนเพราะดอกเบี้ยสูงสุด แล้วจึงค่อยชำระหนี้ A และ C เพื่อลดดอกเบี้ยในภาพรวม




เรียนรู้แนวคิดเทรนด์ไลฟ์สไตล์ทางการเงิน


4. FIRE (Financial Independence, Retire Early) VS YOLO (You Only Live Once)


เทรนด์นี้กำลังมาแรงในวัยรุ่นและวัยเริ่มต้นทำงาน

หลักการของ FIRE เน้นไปที่การบรรลุอิสรภาพทางการเงินและเกษียณเร็ว ผ่านการเก็บเงินให้ได้จำนวนมากในช่วงเวลาสั้น ๆ 

โดยการใช้ชีวิตอย่างประหยัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนำเงินทั้งหมดไปลงทุน เพื่อที่จะมีเงินเก็บเพียงพอให้เกษียณก่อนกำหนดและมีอิสระทางการเงิน

ส่วนมากแล้วคนที่ใช้หลักการ FIRE จะออมเงิน 70% ของเงินเดือนขึ้นไป

แต่วิธีการนี้อาจต้องแลกมากับการไม่ได้ใช้เงินสร้างความสุขให้ตัวเองระยะสั้น และอาจนำไปสู่การ Burn out ได้ในที่สุด


ในขณะที่แนวคิดขั้วตรงข้ามก็คือ YOLO ซึ่งหมายถึงว่าในชีวิตหนึ่งเกิดมาแค่ครั้งเดียว 

ซึ่งหมายถึงความคิดที่ว่าการใช้เงินไปกับสิ่งที่สร้างความสุขและประสบการณ์ที่น่าจดจำในปัจจุบันขณะ เพราะอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไปแล้วก็ได้ เพราะชีวิตไม่มีความแน่นอน

ผลก็คือเงินส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกนำไปออมและลงทุน แต่จะถูกใช้จ่ายออกไป

จะเห็นว่าแต่ละหลักการ มีแนวคิดที่แตกต่างกัน สุดท้ายแล้จะเลือกแบบไหน หรือผสมกันไปก็ไม่ผิดนะครับ เพียงแค่เราเข้าใจความต้องการของตัวเอง




สรุป

  • รายรับ – รายจ่าย = เงินออม: ถ้าอยากเพิ่มเงินออม ก็ต้องเพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย
  • รายรับ – เงินออม = รายจ่าย: ถ้าอยากเก็บเงินอยู่ ก็ต้องออมก่อนใช้จ่าย
  • ต้องทำบัญชีราย-รายจ่าย และบัญชีทรัพย์สิน
  • ถ้าเรามีเงินออมมาก จะมีโอกาสนำเงินออมไปลงทุนต่อยอดได้มาก
  • และการที่ลงทุนต่อยอดได้มาก ก็มีโอกาสทำให้เงินต้นเติบโต และไปถึงเป้าหมายหรือไลฟสไตล์ทางการเงินได้สำเร็จ





*ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน


#FinVest #YourWingsYourWays

Related Posts